วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

 

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่พิบูลย์
 แซ่ตัน

วัดพระแท่นบ้านแดง
อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

เมืองอุดรธานี เป็นที่ทราบกันดีว่ามีพระเกจิอาจารย์ที่ทรงบารมีพุทธาคมสูงส่ง อีกทั้งศิลาจารวัตร งดงาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาปสาทะของสาธุชนทั่วไป มากมายหลายรูป แต่จะมีบูรพาจารย์รูปหนึ่งที่จะกล่าวถึง คือ หลวงปู่พิบูลย์ แซ่ตัน พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา มีบุญญาบารมีสูงส่งทั้งในด้านอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ สามารถเป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านทั้งใกล้และไกล ท่านถูก ใส่ร้ายว่าเป็นกบฏผู้มีบุญ ซึ่งสมัยนั้นจะกระทบกับความมั่นคง ท่านจึงถูกจับกุมไปคุมขังยังเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี จับท่านถ่วงน้ําเพื่อพิสูจน์ความผิด เมื่อไม่สามารถชี้มูลความผิดได้ ก็ปล่อยตัวท่านกลับมา จนครั้งสุดท้าย เจ้าเมืองอุดรธานีท่านหนึ่ง ก็ได้มีคําสั่งจับกุมท่านมาไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์ (พระอารามหลวงสังกัดธรรมยุติกนิกาย) กลางเมืองอุดร ในคดีก่อกบฎผีบุญ โดยกักบริเวณท่านไว้ที่กุฏิในป่าข้างสระน้ําท้ายวัดเป็นเวลากว่า 15 ปี ตลอดเวลาที่หลวงปู่พิบูลย์ มาอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ แต่ละวันก็ได้ออกช่วยชาวบ้านที่ถูกผีปอบเข้า ผีสิง เจ็บไข้ได้ป่วย โดยท่านใช้ยาสมุนไพรและธรรมะเข้ารักษาจนชาวบ้านหายเจ็บป่วย และชื่อเสียงของท่านก็เลื่องลือออกไปอีก คนเจ็บไข้ได้ป่วยจากแต่ละจังหวัดต่างมาให้ท่านรักษา โดยท่านได้สร้างโรงเรือน สร้างกระต๊อบรักษาชาวบ้าน มากมาย ตรงบริเวณนั้นปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. 2485 หลวงปู่พิบูลย์ ท่านได้มีวัตถุประสงค์จะสร้างเหรียญไว้เป็นที่ระลึกแก่ผู้คนที่ศรัทธา และเคารพนับถือท่าน ท่านจึงได้ให้ลูกศิษย์เดินทางไปยังกรุงเทพฯ เพื่อไปติดต่อโรงงานโดยในสมัยช่วงประมาณปี พ.ศ. 2480 นั้นโรงงาน ที่รับปั้มพระแกะบล็อกจะมีแห่งแรกในประเทศ อยู่แถวดีโอสยาม ซึ่งโรงงานนี้ คือโรงงานที่ปั้มเหรียญหลวงพ่อโบถส์น้อย ปี 2482 และ หลวงพ่อคงวัดบางกระพร้อม เมื่อลูกศิษย์ท่านเดินทางไปถึงก็สอบถาม หาโรงงานจึงได้โรงงานและช่างแกะบล็อกให้หลวงปู่พิบูลย์ ซึ่งเป็น เหรียญหยดน้ํารุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ท่านปลุกเสกไว้ . ด้วยอิทธิ ปาฏิหาริย์เหนือคําบรรยายด้วย ที่ท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เราจึง มีเหรียญหยดน้ําไว้บูชาแทนตัวท่านนับแต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

หลวงปู่พิบูลย์ หรือ หลวงปู่บ้านแดง นามเดิมชื่อ พิบูลย์ แซ่ตัน เกิดที่บ้านพระเจ้า ต.มะอึ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด บิดาเป็นคนจีนชื่อ สา และมารดาเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ดชื่อ โสภา มีอาชีพทําไร่ทํานาและค้าชายจนมีฐานะมั่นคง

ตั้งแต่เยาว์วัยท่านจะมีอุปนิสัยชอบทําบุญ บําเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยเชื่อว่าผลบุญกุศลที่ได้ทําแล้วจะทําให้เกิดบุญกุศลเกิด ความสุขในภพนี้และภพหน้า ต่อมาเติบโตมีครอบครัว และมีบุตรบุญธรรมเป็นหญิง 1 คน จนกระทั่งบุตรบุญธรรม ได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัวที่ดี ท่านจึงตัดสินใจบรรพชา โดยไม่ปรากฏชื่อวัด พระอุปัชฌาย์ และฉายาของท่าน ทราบเพียงว่าหลังจากเป็นพระภิกษุแล้ว ได้จําพรรษาและ ศึกษากัมมัฏฐานที่วัดนั้นเป็นเวลาพอสมควร จากนั้นกราบ ลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกเดินรุกมูลเจริญกัมมัฏฐานไป ในป่าเพียงลําพัง โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ค่ำไหนนอนนั่น ไปจนถึงริมแม่น้ําโขงและข้ามสู่ฝั่งประเทศลาว อาศัยถ้ําเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ณ ภูอาก ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อลงมาบิณฑบาตที่หมู่บ้านก็ได้ สั่งสอนธรรมะแก่ญาติโยมจนเป็นที่เคารพศรัทธา เมื่อครั้ง ออกพรรษาหลวงปู่พิบูลย์จึงเดินทางออกจากฏอากมุ่งสู่ถ้ํา แถบภูเขาควาย และได้ไปพบกับอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น (12 กิโลกรัม) ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกันกับลูกศิษย์ อีก 7 รูป เป็นเวลาหลายปี จนอาจารย์เห็นว่าลูกศิษย์แต่ละรูปได้ปฏิบัติในธรรมอย่างเคร่งครัดและส่วนมากได้ บรรลุธรรมแล้ว จึงได้เรียกลูกศิษย์ทั้งเจ็ดออกมา แล้วเอา ลูกสมอให้คนละลูกและให้เคี้ยวลูกสมอนั้นให้แตก ปรากฏ ว่าหลวงปู่พิบูลย์และศิษย์อีก 4 รูป เคี้ยวลูกสมอแตกละเอียด ส่วนอีก 2 รูปนั้นไม่แตกแม้กระทั่งเปลือก อาจารย์จึงรู้ว่าผู้ใดบรรลุธรรมและไม่บรรลุธรรม ผู้ไม่บรรลุธรรม ก็ให้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไป สําหรับหลวงปู่พิบูลย์อาจารย์ ท่านแนะนําให้ไปสร้างวัดอยู่ในเขต อ.หนองหาน เมื่อ

หลวงปู่เดินทางมาถึงเขต อ.กุมภวาปี ท่านได้สร้าง “วัดเกาะแก้วเกาะเกศ” ซึ่งอยู่ติดกับลําน้ําปาว และอยู่ที่นั่นหลายปี จนเมื่อได้กลับมากราบอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น อาจารย์บอกว่าวัดที่หลวงปู่ไปสร้างนั้นไม่ใช่วัดเดิมของ หลวงปู่ที่บอกไปสร้างจะอยู่ทางทิศเหนือของ อ.หนองหาน ซึ่งอยู่ติดริมห้วยหลวง เมื่อลาอาจารย์กลับมายังฝั่งไทย หลวงปู่ได้จําพรรษาที่วัดเกาะแก้วเกาะเกศระยะหนึ่ง จากนั้นจึงลาญาติโยมมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือของหนองหานมุ่งหน้าสู่บ้านไทย (บ้านแดงในปัจจุบัน) และด้วยบารมีของท่าน วัดเก่าแก่โบราณที่เคยเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน ก็กลับเจริญรุ่งเรืองจนมาเป็น “วัดพระแท่น” ดังกล่าวแล้ว

ในปี พ.ศ.2489 ท่านอาพาธด้วยโรคชรา มีลูก ศิษย์ลูกหาคอยดูแลรักษาปรนนิบัติ อาทิ หลวงปู่หนู และ หลวงปู่โชติ ในที่สุดท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวัน ขึ้น 7 ค่ํา เดือน 3 ในปีเดียวกัน ณ วัดโพธิสมภรณ์ ใน ตัวเมืองอุดรธานี สิริอายุได้ 135 ปีหลวงปู่พิบูลย์ เป็นพระเกจิที่ชาวบ้านในยุคนั้น มีความเชื่อว่า ท่านสําเร็จอรหันต์ เพราะเคยได้เห็นปาฏิหาริย์ปรากฏในหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งการรักษา คนป่วย คนบ้า คนถูกคุณไสย หรือผีปอบเข้า (ในยุคนั้น) ด้วยน้ําพระพุทธมนต์จนหายเป็นปกติทุกราย ชาวบ้านบางคนเคยเห็นท่านทําความเพียรจนตัวท่านลอยขึ้นไป ถึงหลังคาพระอุโบสถก็มี และหลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้ว ในวันพระชาวบ้านก็มักจะเห็นลําแสงพุ่งออกจาก ยอดพระเจดีย์ซึ่งบรรจุอัฐิของท่าน แล้วค่อยๆเคลื่อน ไปลงที่ต้นโพธิ์ใหญ่กลางหมู่บ้าน ไม่นานนักลําแสงนั้น ก็จะพุ่งขึ้นจากต้นโพธิ์ลอยกลับคืนมายังเจดีย์อยู่เป็นประจํา ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า “พระธาตุหลวงปู่เสด็จ

ส่วนวัตถุมงคลของหลวงปู่พิบูลย์ คือ เหรียญหยดน้ํา “เหรียญรุ่นแรก” ที่ว่ากันว่าหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรนั้นเพราะเป็น เหรียญรุ่นแรกและรุ่นเดียวที่สร้างเมื่อครั้งท่าน ยังมีชีวิตอยู่ที่วัดต่างหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นหลวงปู่โชติ ก็ได้ สร้างบล็อกสายฝนเรียบ ในงานบําเพ็ญกุศลหลวงปู่พิบูลย์ ในปี 2504 จํานวนประมาณ 4,000 เหรียญ โดยมีการปั้ม เฉพาะบล็อกสายฝนนี้ ปั้มออกมาถึง 3 ครั้ง เหรียญ สายฝนเรียบสวยๆ ราคาขึ้นแสนมานานแล้ว โดยไม่มีการแก้ไขบล็อกใดๆ ทั้งสิ้น ถัดมาได้มีการนําบล็อกสายฝน เรียบที่ชํารุด มาทําการแก้ไขบล็อก แล้วก็ได้ทําการปั้ม เหรียญออกมาอีกถึง 4 ครั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ได้มีการจัดสร้างเหรียญบล็อกฝาบาตรออกมา มีเนื้อทอง ฝาบาตรรมดํา และทองฝาบาตรไม่รมดํา บล็อกนี้เป็น บล็อกที่มีราคาแพง สวยๆ ขึ้นหลักแสนไปแล้วและก็หายากเช่นกัน เพราะจํานวนการสร้างน่าจะไม่เกิน 2,000 เหรียญ ต่อจากนั้นมาปี พ.ศ. 2516 ได้มีการแกะบล็อกขึ้นมาอีก โดยได้แกะเป็นบล็อกกนก 7 ชั้น ไม้เท้าทู่ และต่อมาบล็อกหน้าแก่ หลวงปู่ชมก็ได้ให้ช่างแกะขึ้นมาอีกบล็อก คือ บล็อกรุ่นที่ 1 หลวงปู่ชม โอภาโส สร้าง ในปี 2516 บล็อกพิมพ์หน้าแก่กลางปี 2525 กับบล็อกหน้าหนุ่ม ในปี 2530 ส่วนบล็อกยายเขียวถือว่าเป็นอีกบล็อกที่มีประสบกราณ์มากมาย ก็ได้สร้างในปี พ.ศ. 2538 และรุ่นเมตตาก็ได้ทําการจัดสร้างรุ่นสุดท้ายที่หลวงปู่โชติได้สร้างไว้เป็นรุ่นเดียวที่ท่านได้สร้างพร้อมกับเหรียญมหาเศรษฐีหลวงปู่โชติ คือ เหรียญห้าเหลี่ยมพิบูลย์รักษ์ ปี พ.ศ. 2540 ยังมีอีกหลายรุ่นหลายวัดที่ได้จัดสร้างรูปเหรียญหลวงปู่พิบูลย์ตามสายบูรพาจารย์ ซึ่งในแต่ละครั้งที่จัดสร้างวัตถุมงคลของท่านต่างก็มีประสบการณ์ เป็นที่เสาะหาของบรรดาผู้ที่ศรัทธาในองค์หลวงปู่พิบูลย์เป็นอย่างมาก ตราบใดที่ความศรัทธายังคงมั่น ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ย่อมตามมาอยู่เสมอ ขอแค่ให้เชื่อมั่นทําแต่ความดีงามตามที่หลวงปู่พิบูลย์ท่านสั่งสอน แม้จะอยู่ใกล้ไกลท่านจะตามไปรักษาเราตลอดกาลนาน

ประวัติ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ” ปราชญ์แห่งที่ราบสูง

 สุทฺโธ” อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ที่แม้ท่านจะละสังขารไปตั้งแต่ปี 2558 ยังคงมีพุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์นับถือเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก

ประวัติ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ จาก หนังสือที่ระลึกในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่ และครูใหญ่พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ)

หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2466 แรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ณ บ้านไร่ หมู่ 6 ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ประกอบด้วย 1 หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ 2 นางคำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์ 3 นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์

เมื่ออายุได้ 11 ปี มารดาเสียชีวิต บิดานำไปฝากเป็นศิษย์วัดบ้านไร่ โดยมีพระอาจารย์เชื่อม วิรโช พระอาจารย์ฉาย กิตติญโญ และพระอาจารย์หลี อารกขยโย เป็นครูสอนภาษาไทยและภาษาขอม

เมื่ออายุครบ 21 ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2487 โดยพระครูวิจารยติกิจ เจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสี วัดบ้านจั่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสุข วัดโคกรักษ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ต่อมาได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแดง ชินบุตโต วัดบ้านหนองโพธิ์ ตำบลสำนักตะคร้อ อำเภอเทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา และหลวงพ่อคง พุทธสโร วัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุดทด จังหวัดนครราชสีมา

การศึกษาขณะเป็นสมณะ สอบได้นักธรรมชั้นตรี ที่สำนักเรียนนวัตถนนหักใหญ่ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมวินัยด้านปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวทเป็นอย่างดีแล้ว ได้ออกเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าจากวัดบ้านไร่สู่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม และเข้าสู่ประเทศลาว (สปป.ลาว) ในประเทศลาวได้ธุดงค์ไปหลายที่ เช่น ภูเขาควาย หลวงพระบาง ทุ่งไหหิน แก่งหลี่ผี มหานทีสี่พันดอน และเข้าสู่ประเทศกัมพูชา ปี พ.ศ. 2500 หลังจากการเดินธุดงค์แล้ว หลวงพ่อกลับมาจำพรรษา ณ วัดบ้านไร่ การจำพรรษาของหลวงพ่อในแต่ละปีนั้น ท่านได้จำพรรษาไปตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย

ขณะที่ หลวงพ่อกลับมาจำพรรษา ณ วัดบ้านไร่นั้น ท่านได้นำชาวบ้านก่อสร้างโรงเรียนบ้านไร่ โดยไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการแต่อย่างใด และยังบริจาคเงินก่อสร้างวัด หน่วยงานราชการต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรงพยาบาล สถานีอนามัย โรงเรียน วิทยาลัย สถานีตำรวจ บ้านพักตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ถนน รวมทั้งบริจาคเงิน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ช่วยชีวิต รถพยาบาล รถดับเพลิง เครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นต้น จากคุณงามความดีของท่านมากมาย จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ ณ พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง ดังต่อไปนี้

12 สิงหาคม 2535 พระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ ที่พระญาณวิทยาคมเถระ

10 มิถุนายน 2539 พระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ เลื่อนสมณศักดิ์ที่พระราชวิทยาคม

12 สิงหาคม 2557 รับพระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ เลื่อนสมณศักดิ์ ที่พระเทพวิทยาคม

และได้รับแต่งตั้ง เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2546

หลวงพ่อได้ถวายเงินแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย วันที่ 11 มกราคม 2538 ณ วัดบ้านไร่ จำนวน 72,000,000 บาท (เจ็ดสิบสองล้านบาท) และถวายอีกครั้งในวันที่ 18 เมษายน 2551 ณ พระราชตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวัง จำนวน 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาท) ประมาณการเงินที่บริจาคเพื่อเป็นปัจจัยสร้างวัด หน่วยงานราชการและเอกชน เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ สาธารณสงเคราะห์ มีมากถึง 4,000,000,000 บาท (สี่พันล้านบาท)

หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 สิริอายุ 92 ปี 71 พรรษา

พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)

 

พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเทพวิทยาคม
(คูณ ปริสุทฺโธ)
หลวงพ่อคูณ
หลวงพ่อคูณ.jpg
เกิด4 ตุลาคม พ.ศ. 2466
ตำบลกุดพิมาน
อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
มรณภาพ16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา
อายุ91 ปี 224 วัน
อุปสมบท5 พฤษภาคม พ.ศ. 2487
พรรษา71
วัดวัดบ้านไร่
จังหวัดนครราชสีมา
สังกัดมหานิกาย
ตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11
เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่
พระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา

พระเทพวิทยาคม นามเดิม คูณ ฉัตร์พลกรัง หรือที่รู้จักในนาม หลวงพ่อคูณ (4 ตุลาคม พ.ศ. 2466 – 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558) เป็นพระเกจิอาจารย์ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 และอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่

ประวัติ[แก้]

หลวงพ่อคูณ เกิดในชื่อและนามสกุลทางโลกคือ คูณ ฉัตร์พลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2466[1] ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ที่ 6 ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายคนโตของบุญ (บิดา) และทองขาว (มารดา) ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาสามคนคือ

  1. พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ)
  2. คำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์ (เป็นหญิง)
  3. ทองหล่อ เพ็ญจันทร์ (เป็นหญิง)

โยมบิดามารดาของหลวงพ่อคูณ เสียชีวิตลงขณะที่ลูกทั้งสามยังเด็ก เด็กชายคูณกับน้องสาวทั้งสอง จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่เด็กชายคูณมีอายุราว 6-7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ, พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม นอกจากนี้พระอาจารย์ทั้งสาม ยังอบรมสั่งสอนคาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้ด้วย เด็กชายคูณจึงมีความรู้ในวิชาไสยศาสตร์มาแต่บัดนั้น[1]

อุปสมบท[แก้]

คูณ ฉัตร์พลกรัง อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2487[1] ปีวอก อุปัชฌาย์ให้ฉายาว่า ปริสุทฺโธ หลังจากนั้น หลวงพ่อคูณฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ตำบลสำนักตะคร้อ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด ทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน และลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

หลวงพ่อคูณอยู่ปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้เป็นเพื่อนกัน ต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ เวลาล่วงเลยมานานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริก ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป ระยะแรกหลวงพ่อคูณธุดงค์จาริก อยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกไกลออกไป กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศกัมพูชา มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา และอุปาทานทั้งปวง

หลังจากที่พิจารณา เห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางกลับสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตแดนทางจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับสู่ถิ่นเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำริให้ก่อสร้างวัด ให้เป็นถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างพระอุโบสถเมื่อ พ.ศ. 2496 นอกจากนั้น หลวงพ่อคูณยังดำริให้สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคและบริโภค ทั้งจัดสร้างโรงเรียนวัดบ้านไร่ เพื่อการศึกษาของเยาวชนละแวกนี้อีกด้วย

สมณศักดิ์[แก้]

  • 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 : เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระญาณวิทยาคมเถร[2]
  • 10 มิถุนายน พ.ศ. 2539 : เป็นพระราชาคณะชั้นราชฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชวิทยาคม อุดมกิจจานุกิจจาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี[3]
  • 12 สิงหาคม พ.ศ. 2547 : เป็นพระราชาคณะชั้นเทพฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระเทพวิทยาคม อุดมธรรมสุนทร ปสาทกรวรกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี[4]

มรณภาพ[แก้]

เมื่อเวลาประมาณ 05:45 น. ของวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 พนักงานพยาบาลที่ดูแลหลวงพ่อคูณอยู่ที่วัดบ้านไร่ พบว่าหลวงพ่อมีอาการหมดสติไม่รู้สึกตัว จึงรีบแจ้งให้แพทย์จากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และโรงพยาบาลด่านขุนทดมาวินิจฉัยโดยด่วน ซึ่งคณะแพทย์ตรวจประเมินว่า หลวงพ่อคูณหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น จึงปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูง อยู่เป็นเวลา 1 ชั่วโมง กระทั่งอาการทรงตัว จึงใส่เครื่องช่วยหายใจ พร้อมทั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจ จากนั้นเมื่อเวลา 08:30 น. จึงรีบส่งเข้ารักษาต่อ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาโดยด่วน พบว่ามีลมรั่วเข้าภายในปอดฝั่งซ้าย และมีเสมหะอุดตันทางเดินหายใจ จึงให้หลวงพ่อพักรักษาตัว ภายในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม (ไอซียู) โดยจัดคณะแพทย์และพยาบาล เฝ้าระวังดูแลอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสัญญาณชีพของหลวงพ่อยังไม่คงที่[5]

จากนั้นคณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช เข้าร่วมทำการวินิจฉัยและรักษา กับคณะแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาด้วย ต่อมาเวลา 20:00 น. คณะแพทย์รายงานผลการตรวจรักษาหลวงพ่อว่า สัญญาณชีพยังไม่คงที่ ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจ และเครื่องช่วยหายใจ ขณะเดียวกัน มีเลือดออกในทางเดินอาหารจำนวนมาก ร่วมกับมีภาวะไตหยุดทำงาน เป็นผลให้ไม่มีปัสสาวะออกจากร่างกาย ทั้งนี้ภาวะผิดปกติที่แทรกซ้อนขึ้นทั้งหมด เกิดจากปอดและหัวใจ หยุดทำงานเป็นเวลานาน[6] และรุ่งขึ้น (วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม) เมื่อเวลา 10:00 น. คณะแพทย์ผู้รักษารายงานว่า มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น เนื่องจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เป็นผลให้มีเลือดออกในช่องทรวงอก จึงทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น คณะแพทย์จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูง สำหรับภาวะไตหยุดทำงาน คณะแพทย์ใช้เครื่องไตเทียมทำการฟอกเลือด[7]

จนกระทั่งเวลา 11:45 นาฬิกา คณะแพทย์ออกประกาศแจ้งว่า พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) มีอาการโดยรวมทรุดลง จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพลงขณะทำการรักษา ภายในห้องอายุรกรรมผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา สิริอายุ 91 ปี พรรษา 71[8] ซึ่งในการแถลงข่าวโดยคณะแพทย์ผู้รักษา เมื่อเวลา 12:15 น. น.พ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์อายุรกรรมหัวใจชำนาญการ ผู้รักษาประจำของหลวงพ่อคูณ ในสถานะหัวหน้าคณะแพทย์กล่าวว่า สาเหตุแห่งการมรณภาพ เนื่องจากการหายใจหยุดลง เพราะมีลมรั่วเข้าไปภายในปอด หรือที่เรียกว่าปอดแตก เป็นเหตุให้หัวใจหยุดเต้น เนื่องจากคณะแพทย์ต้องช่วยปั๊มหัวใจ เป็นเวลานานถึง 1 ชั่วโมง ทั้งที่หากสมองขาดออกซิเจนเพียง 4 นาที ก็เข้าสู่ภาวะวิกฤตแล้ว หลังจากนำหลวงพ่อมายังโรงพยาบาล ก็พยายามช่วยกันเต็มที่ เมื่อเวลาประมาณ 05:40 น. ยังต้องปั๊มหัวใจเพิ่มถึงสองรอบ แต่ด้วยความที่หลวงพ่อ อยู่ในภาวะที่ไม่รับรู้ใด ๆ นับแต่หมดสติที่วัดบ้านไร่แล้ว เมื่อการหายใจหยุดลง และหัวใจหยุดเต้นเป็นเวลานาน ก็ส่งผลให้อวัยวะอื่นๆ วิกฤตลงตามไปด้วย คือเข้าสู่ภาวะสมองตายตั้งแต่แรก ต่อมาแพทย์พยายามยื้อหัวใจ และต่อมาปอด จนมาถึงไต แต่แล้วสุดท้าย อวัยวะสำคัญก็ล้มเหลวลงทั้งหมด หลวงพ่อจึงถึงแก่มรณภาพดังกล่าว[9]

จากนั้นมีการเปิดเผยพินัยกรรม ซึ่งหลวงพ่อคูณทำไว้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2543 มีใจความสำคัญระบุให้มอบสังขาร แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายในเวลา 24 ชั่วโมงนับแต่มรณภาพ แล้วให้ทางมหาวิทยาลัยมอบให้แก่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้นำไปศึกษาค้นคว้า ตามวัตถุประสงค์ของภาควิชา สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา และการสวดพระอภิธรรม ขอให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกอบพิธีขึ้นที่คณะเป็นเวลา 7 วัน ส่วนการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล เมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้า ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว ให้จัดอย่างเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ ทั้งห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธี อื่นๆ เป็นกรณีพิเศษหรือเป็นการเฉพาะ โดยให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกอบพิธีเช่นเดียวกับที่จัดให้แก่ อาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ประจำปี ร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น แล้วเผาที่ฌาปนสถานวัดหนองแวง (พระอารามหลวงอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น (หรือวัดแห่งอื่น) และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำอัฐิ เถ้าถ่าน และเศษอังคารทั้งหมด ไปลอยที่แม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม โดยมีสักขีพยานประกอบด้วย รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ขณะนั้น), ญาติ, ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ (ขณะนั้น) และนิติกรชำนาญการ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ลงนามเป็นหลักฐาน[10]

ทั้งนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ร่วมกันประชุมและลงมติให้ดำเนินการ ตามพินัยกรรมฉบับดังกล่าวทุกประการ โดยไม่มีการนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านไร่เสียก่อน ดังที่มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งร้องขอแต่อย่างใด ซึ่งมีการเคลื่อนสังขารของหลวงพ่อคูณ ออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เมื่อเวลา 20:00 น.[11] โดยไปถึงศาลา 25 ปีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเวลาประมาณ 22:00 น. เพื่อบรรจุสังขารลงในโลงแก้ว จากนั้นรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม) เวลาประมาณ 14:00 น. คณะลูกศิษย์พากันจัดริ้วกระบวน เพื่อเคลื่อนสังขารหลวงพ่อคูณ ไปยังศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้นเอง เพื่อตั้งสังขารบำเพ็ญกุศลและสวดพระอภิธรรม เป็นเวลา 7 วัน ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น กำหนดจัดขึ้นตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม ถึงวันอังคารที่ 25 สิงหาคม ระหว่างเวลา 06:00-23:00 น. สำหรับสาเหตุที่ต้องเคลื่อนสังขารอีกครั้ง เนื่องจากศูนย์ประชุมดังกล่าว เป็นสถานที่กว้างขวางสะดวกสบาย สามารถรองรับพุทธศาสนิกชน ซึ่งเดินทางมาสักการะสังขารอย่างทั่วถึง[12]

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พวงมาลา 12 พวง โดยมอบหมายให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมทั้งพระราชทานโกศโถบรรจุศพ พร้อมฉัตรเบญจาเป็นกรณีพิเศษ[13]

ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562 พิธีพระราชทานเพลิงพระศพหลวงพ่อคูณจัดขึ้น ณ เมรุชั่วคราว วัดหนองแวงพระอารามหลวง พุทธมณฑลอีสาน จังหวัดขอนแก่น