วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565

บูชา “เซียนแปะโรงสี” 10 ปี ชีวิตมีแต่เฮงกับเฮง

 


บูชา “เซียนแปะโรงสี” 10 ปี ชีวิตมีแต่เฮงกับเฮง

รัก-ยม

    11 ก.ค. 2564 05:01 น.

    บันทึก

    “ชีวิตเรา”...จะมีเวลาเป็นช่วงๆที่จิตเข้าเขตอกุศลธรรมดำมืด เป็นทุกข์ โมโหหิว อึดอัดขัดใจทำอะไรไม่ได้ อยากด่าคน ไม่สนธรรมะ คำพูดดีๆไม่อยากฟัง...

    เมื่อเข้าเขตอกุศลธรรม แต่ละคนเกิดปฏิกิริยาต่างๆกันไปตามเสบียงทางวิญญาณที่สั่งสมมา คนจำนวนหนึ่ง...ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะคุ้นเคยกับเขตอกุศลธรรมอยู่แล้ว คนจำนวนหนึ่ง...ฉุกใจเตือนตัวเองว่านี่เรากำลังเข้าเขตอกุศลธรรมอันน่าสะดุ้งกลัวอยู่หรือเปล่า?

    คนจำนวนหนึ่ง...ปล่อยเลยตามเลย ไหนๆก็ไหนๆ ให้โลกแตก จิตแตกยังไงก็ช่างหัว คนจำนวนหนึ่ง...คิดแก้ปัญหาภายนอกก่อน แม้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้คิด กัดฟันทำตามสำนึกแบบผู้ใหญ่ไปงั้นๆ คนจำนวนหนึ่ง...คิดแก้ปัญหาภายในก่อน เพื่อสร้างเรี่ยวแรงใหม่ให้พร้อมคิดแก้ปัญหาภายนอกได้จริง

    คนจำนวนหนึ่ง...มีต้นทุนพอจะรู้ว่าถ้าคิดอะไรดีๆไม่ออกก็เลิกคิด ออกจากโหมดคิด เข้าโหมดรู้เพื่อตั้งหลักกันใหม่ จากหัวโล่งๆ และเนื้อตัวเบาๆ คล้ายเรียกตัวอีกคนที่เก่งกว่ามาผลัดเวร

    เร่งถามตัวเอง เราเป็นคนจำนวนหนึ่งแบบไหน? เราเห็นธรรมะเป็นสิ่งขาดไม่ได้แล้วหรือยัง? ธรรมะเป็นเสบียง...ที่ต้องเตรียมกันล่วงหน้านานๆไม่ใช่ตาลีตาเหลือกควานหากัน ตอนที่จิตดีๆกำลังจะตายไปจากตัวเพราะไม่มีใครบอกล่วงหน้าได้หรอกว่า...โลกจะมืดลงวันไหน หาใครรับผิดชอบโลกและประเทศไม่ได้วันใด...

    ต้นทุนทางธรรมเฉพาะตัวเท่านั้น ที่ช่วยให้รอดเฉพาะตนได้จริง ทำกับคนอื่นอย่างไร คือสะสมธรรมะให้กับตัวเองอย่างนั้น...ให้ทานแก่คนอื่น เห็นใจคนอื่น...เพื่อความชุ่มชื่นเย็นใจแก่ตนเอง

    รักษาศีล ไม่ทำร้ายใคร...เพื่อความสว่างใสแก่ใจตน สุดท้าย ทำสมาธิ เจริญสติ ทำความสว่าง ความรู้กระจ่างแจ้ง เพื่อสร้าง “จิตก่อนคิด” ขึ้นมาเตรียมเอาไว้แทนที่ จิต “คิดอะไรดีๆไม่ออก” กัน

    ตัดตอนคัดลอกมาจากเฟซบุ๊ก เพจ “Dungtrin”...จะเกี่ยวมากเกี่ยวน้อยก็น่าจะถือว่าเกี่ยวโดยเฉพาะเรื่อง “ศรัทธา” กับ “ความรวย” ดังตฤณ กล่าวไว้ว่า ถ้าทำสมาธิแล้วรวยขึ้นเป็นร้อยล้านทันตา...คนทั้งโลกคงหันมาทำสมาธิกันหมด ข้อเท็จจริงคือ หากทำสมาธิได้...ดวงจิตที่ได้มามีค่าสูงกว่าร้อยล้าน เพราะเป็นเหตุให้อยู่เย็นเป็นสุขแสนสุขแสนสบายทางใจ ชนิดที่ไม่ค่อยมีกันในบรรดาเศรษฐีร้อยล้าน

    “ตลอดจนเป็นเหตุให้คิดดี น้อมศรัทธาไปในธรรมแห่งความพ้นไป”

    O O O

    พลิกปูมประวัติ “เซียนแปะโรงสี” หรืออีกชื่อที่รู้จักกันก็คือ “อาจารย์โง้ว กิมโคย” ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นมีชื่อจริงว่า “นที ทองศิริ” และ “กิมเคย แซ่โง้ว” ชาวจีนโพ้นทะเลที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพิธีกรรมตามศาสตร์ความเชื่อของจีนและในเรื่องเกี่ยวกับ “ฮวงจุ้ย”

    กล่าวกันว่า ท่านได้ประกอบธุรกิจโรงสี อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี กระทั่งหลังเสียชีวิตลงแล้วได้รับการเคารพนับถือในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ปทุมธานี กรุงเทพฯ...

    ยกให้ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับการทำมาค้าขาย ปลดหนี้ ป้องกันภัย

    อาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างเกี่ยวกับ “ยันต์ฟ้าประทานพร” ยันต์ประจำตัว “เซียนแปะโรงสี” ที่มีความเชื่อศรัทธากันอย่างมากล้นว่าใครที่นำมาบูชาจะค้าขายรุ่งเรือง ทำธุรกิจประสบผลสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง

    เรื่องนี้มีที่มาที่ไปให้เป็นเช่นนั้น

    ย้อนไปดูบันทึกประวัติ “เซียนแปะโรงสี” เกิดที่ตำบลเท้งไฮ้ ราวปี 2440 อายุได้เพียง 10 ปี ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย แรกเริ่มได้ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ค้าข้าวเปลือก กระทั่งเริ่มตั้งตัวได้จึงร่วมหุ้นก่อตั้งโรงสีข้าวขึ้นมา ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางโพธิ์ล่าง...ปัจจุบันคือพื้นที่ตำบลบางเดื่อ อำเภอเมืองปทุมธานี

    ครั้นอายุได้ 22 ปี “เซียนแปะโรงสี” ได้สมรสกับนางนวลศรี เอี่ยมเข่ง มีบุตรธิดา 10 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก 4 คน จากนั้นท่านก็ได้ตั้งกิจการโรงสีของตนเองขึ้นมาบริเวณคลองเชียงรากใกล้กับวัดศาลเจ้า

    พร้อมทั้งได้รับสัญชาติไทยและได้เปลี่ยนชื่อเป็น “นายนที ทองศิริ”

    ฉากชีวิตท่านมีคุณูปการอย่างยิ่งยวดในการดำเนินงานของวัดศาลเจ้าแห่งนี้ ทั้งบูรณะซ่อมแซม จัดพิธีกรรมต่างๆในงานสำคัญต่างๆนับตั้งแต่ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นเพียงอาคารไม้เก่าๆ จนเล่าลือกันอย่างหนาหูว่า...ท่านเป็นบุคคลที่มี “องค์” ของเจ้าพ่อวัดศาลเจ้าประทับในตน ด้วยมีอยู่หลายๆครั้งด้วยกันที่ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ในพิธีกรรมต่างๆจนปรากฏให้เห็นและก็ทำให้ผู้คนต่างเชื่อกันอย่างนั้นนั่นเอง

    นอกจากนี้แล้ว “เซียนแปะโรงสี” ท่านยังเป็นบุคคลที่มีความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง หยิบยื่นช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาด้านความเชื่อจีน จึงยิ่งผนวกความศรัทธาที่มีอยู่สั่งสมให้มีมากขึ้นเรื่อยๆเป็นเท่าทวีคูณ

    จนกระทั่งในปี 2526 “เซียนแปะโรงสี” ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 85 ปี

    O O O

    ผมบูชา “เซียนแปะโรงสี” มาตั้งแต่ 10 กว่าปีล่วงมาแล้วครับ ตั้งแต่เปิดร้านใหม่ๆ ชีวิตโอเคมาตลอด ค้าขายทำอะไรก็เจริญรุ่งเรือง ราบรื่นมาตลอด

    อาจจะเรียกได้ว่า...ไม่เคยมีสะดุดหรือมีปัญหาอะไรหนักหนาเลยแม้แต่น้อย

    ประโยคข้างต้นมาจาก บ็อบ อายุ 35 ปี เจ้าของร้าน “เพื่อนคอมพิวเตอร์” ชั้น 3 ห้างเซียร์รังสิต ถามว่า นึกยังไงถึงบูชา ด้วยว่าได้อ่านประวัติ เห็นว่าเป็นคนที่ชำนาญเรื่องค้าขาย ก็เลยบูชาตั้งแต่นั้นมา

    “บ็อบ” เป็นคนบุรีรัมย์ จับพลัดจับผลูมาเปิดร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ ก่อร่างสร้างครอบครัวอยู่ที่เซียร์รังสิต นับจากเรียนอาชีวะจบสาขาอิเล็กทรอนิกส์ แล้วก็เรียนคอมพิวเตอร์เพิ่มอีกสองปีเพื่อเพิ่มพูนความรู้ติดอาวุธให้ตัวเอง จนกระทั่งมีโอกาสได้เข้ามาฝึกงานที่นี่ก็เลยมีช่องทาง แล้วก็ต่อยอดเรื่อยมาจนถึงวันนี้

    10 กว่าปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็น “เจ้าของธุรกิจ” เต็มตัว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เส้นทางชีวิตดีวันดีคืนได้จริงๆ...“เงินทอง รายได้ไม่เคยขาดมือ ลูกค้าก็เข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งลูกค้าใหม่ ขาจร ขาประจำ มีมาตลอด ราบรื่นมากๆ ไม่เคยติดขัด”...ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความตั้งใจดี นิสัยส่วนตัว แต่อีกส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะสิ่งที่มองไม่เห็น มาจากศรัทธาที่มีต่อ “เซียนแปะโรงสี” นั่นเอง

    “ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

    รัก–ยม

    คาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาท

     

    คาถาบูชาพระสีวลี ต้นฉบับจาก หลวงพ่อกวย ชัยนาท พระเกจิดัง ใช้ขอพรด้านโชคลาภ ทำมาค้าขาย และมีความเชื่อว่าหากขอพรกับพระสีวลี จะทำให้ค้าขายร่ำรวย มีเงินไหลมาเทมา

    วันนี้ Thainews Online มี คาถาบูชา สำหรับ สวดขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็น คาถาบูชาพระสีวลี เป็นต้นฉบับมาจาก หลวงพ่อกวย หรือที่เรารู้จักกันว่า หลวงพ่อกวย ชัยนาท หรือ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม 

    คาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาทคาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาท

    โดยจากคติ ความเชื่อ แล้ว พระสีวลี อยู่ในครรภ์มารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และยังทำให้มารดาเจริญไปด้วยลาภไม่ได้ขาดสาย ใน ประวัติพระสีวลี กล่าวว่า เมื่อวัยเจริญวัย พระสีวลีได้ออกผนวชในสำนักพระสารีบุตร ท่านก็สมบูรณ์ด้วยลาภ ไม่ว่าจะเดินทางไปทางไหนก็จะมีเทวดาและมนุษย์นำเครื่องอุปโภคบริโภคมาถวายพระสีวลีอยู่เสมอ

    พระสีวลี ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทาง ผู้มีลาภมาก และให้ถือคตินี้ในการบูชาพระสีวลีให้ได้มาซึ่งลาภ ที่อุดมไปด้วย ข้าวปลาอาหาร ไม่อดอยาก และมีโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา

    คาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาทคาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาท

    affaliate-2

    คาถาบูชาพระสีวลี

    คาถาบูชาพระสีวลี นั้นมีมากแต่ที่ทางทีมข่าวไทยนิวส์ ยกมาไว้ในบทความนี้เป็นต้นฉบับมาจาก หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท โดยในคำบอกเล่าได้บอกกันไว้ว่า หลวงพ่อกวยได้บันทึกไว้ด้วยลายมือ และท่านย้ำให้สวดบูชาทุกวัน จะทำให้การซื้อขายคล่อง ทำให้โชคชะตาราศีดี โดยหลวงพ่อกวยได้บันทึกไว้ว่า 

    คาถาบูชาพระสีวลี หลวงพ่อกวย

    ก่อนสวดให้ท่องนะโม 3 จบ ก่อน แล้วตามด้วย คำอาราธนาขอโชคลาภ

    สีวลี จะ มหาเถโร ปัจจะยะลาภะปูชิโต มะนุสโสเทวะตาอินโท 
    พรมมายะโม ยักขาวา ปิตัสสะ นิรันตะรัง ปะนะลาภะ สักกาเรอาเนนติ 
    นิจจัง สิวะลิดเถ รัสสะลาโภจะ สักกาโรโหติ สีวลีมหาเถรันจะปูชะกัสสะ 
    สะทาวาปิ คาถันจะ สังวัดตะนัสสะลาโภจะ สักกาโรโหติเถรัสสะ 
    อานุภาเวนะ ลาโภเมโหตุสัพพะทา เอเตนะ สัจจะวัดเชนะ 
    ลาโภเมโหตุ สัพพะทาฯ

    เมื่อทำการสวดเสร็จแล้ว ให้สวดคาถาพระสีวลีต่อไปอีกให้ได้วันละ 3 ครั้ง 7 ครั้ง จะเกิดโชคลาภตามความปรารถนา

    คาถาบูชาพระสีวลี

    สีวะลีจะมหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโหปัจจะยาทิมหิ 
    สีวะลีจะมหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโหปัจจะยาทิมหิ
    อะหังวันทามิ ตังสะทา สีวลีเถรัสสะ เอตังคุณัง สวัสดิลาภัง ภะวันตุเมฯ

    ให้สวดคาถาบูชาพระสีวลีเป็นกิจวัตร จะทำให้การซื้อง่ายขายคล่อง ต่อไปจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีและจะทำให้มีโชคชะตาราศีที่ดีขึ้น

    คาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาทคาถาบูชาพระสีวลี ฉบับ หลวงพ่อกวย ชัยนาท

    ขอบคุณภาพจาก : ศรัทธาบารมี หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม

    เปิดประวัติ เซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไร

     

    เซียนแปะโรงสี เป็นผู้วิเศษชาวจีนที่มีคนนับถือเยอะที่สุดท่านหนึ่ง มีความเชื่อกันว่าสามารถ ขอพร แปะโรงสี ได้โดยไม่ต้องบน

    เซียนแปะโรงสี แปะ วัดมะขาม เซียนแปะโรงสี คือใคร เซียนแปะโรงสี วัดมะขาม ใช่คนเดียวกันไหม วันนี้ Thainews จะพาไปย้อนดูที่มาของ เซียนแปะโรงสี ทำไมผู้คนนิยมไปไหว้ขอพร และ เซียนแปะโรงสี อยู่ที่ไหน ไปยังไง ขอพรเรื่องอะไรได้บ้าง ไปดูกันคะ

    เปิดประวัติ เซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไรเปิดประวัติ เซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไร

    ประวัติ วัดศาลเจ้า

    วัดศาลเจ้า ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัด ปทุมธานี เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของเมืองปทุม จะอยู่ติดกับวัดมะขาม ติดแม่น้ำเจ้าพระยา และคลองเชียงรากค่ะ โดยประวัติของวัดนั้นยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า วัดศาลเจ้า แห่งนี้สร้างเมื่อปลายกรุงศรีอยุธยา โดย เจ้าน้อยมหาพรหม บุตรเจ้าเมืองฝ่ายเหนือ เป็นผู้มีวิชาไสยศาสตร์แก่กล้าค่ะ

    ว่ากันว่าท่านได้ล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา จนมาถึงวัดมะขามแห่งนี้ และได้พบกับ พระอาจารย์รุ พระภิกษุเชื้อสายรามัญ ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน ทั้งสองได้ทดสอบวิชากัน จนทำให้เจ้าน้อย มหาพรหม เกิดความเคารพเลื่อมใสในวิทยาคมของพระอาจารย์รุ จึงขอสร้างวัดและศาลขึ้น ณ ที่นี้ แล้วตั้งชื่อว่า วัดศาลเจ้า ซึ่งน่าจะมาจาก "ศาล" ที่สร้างขึ้นโดย "เจ้า" น้อยมหาพรมนั่นเองค่ะ

    ภายใน วัดศาลเจ้า ก็จะมีปูชนียสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้ง อุโบสถที่เจ้าน้อยมหาพรหมสร้างถวายในสมัยพระอาจารย์รุ ซึ่งได้มีการบูรณะใหม่ในเวลาต่อมาค่ะ เป็นอุโบสถเจดีย์แบบรามัญ ที่หาชมได้ยาก รวมไปถึงมีพระพุทธรูปที่เจ้าน้อยมหาพรหมสร้างไว้ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญอีกด้วยค่ะ

    วัดมะขาม ปทุมธานี แปะ วัดมะขาม วัดศาลเจ้า ปทุมธานีวัดมะขาม ปทุมธานี แปะ วัดมะขาม วัดศาลเจ้า ปทุมธานี

    ประวัติ เซียนแปะโรงสี

    เซียนแปะโรงสี หรือ อาจารย์โง้วกิมโคย เซียนแปะโรงสี คือใคร เดิมทีชื่อ กิมเคย แซ่โง้ว เป็นชาวจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เมื่อประมาณอายุ 22 ปี ได้สมรสกับนาง นวลศรี เอี่ยมเข่ง มีบุตรด้วยกัน 10 คน อาแปะประกอบ อาชีพค้าขายข้าวเปลือก และได้ตั้งโรงสีชื่อว่า โรงสีไฟทองศิริ ที่ปากคลองเชียงรากเยื้อง ๆ กับวัดศาลเจ้าและได้โอนสัญชาติจากจีนเป็นไทย รวมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น นายนที ทองศิริ กิจการโรงสีของอาแปะมั่นคงมากขึ้น ทำให้เป็นที่รู้จักกันในนามว่า แปะกิมเคย

    เซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไรเซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไร

    เซียนแปะโรงสี วัดมะขาม ท่านเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำให้เป็นที่เคารพของคนทั่วไปโดยเฉพาะในกลุ่มของพ่อค้าแม่ค้า และเป็นที่เล่าต่อกันมาว่าแปะโรงสีนั้นมีองค์ของพ่อปู่ เจ้าพ่อวัดศาลเจ้า อีกด้วย โดยในงานประจำปีท่านจะจุดธูปเพื่อปัดเป่าลมฝน ซึ่งฝนก็จะไม่ตกและท้องฟ้าก็ดูแจ่มใสอีกเช่นกัน อาแปะได้ทำการบูรณะศาลเจ้าในยามที่การคมนาคมลำบาก แต่ท่านก็ไม่ละความพยายาม จนทำสำเร็จ นอกจากการบูรณะศาลเจ้าแล้ว เซียนแปะโรงสียังเป็นผู้กำหนดวันจัดงานประจำปีของศาลเจ้าพ่อวัดศาลเจ้าเป็นวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 1 ถึงวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 1 รวม 4 วัน 4 คืน ซึ่งทางชาวจีนเรียกช่วงนี้ว่า "เจียง่วย ชิวโหงว ถึง เจียง่วย ชิวโป้ย" และได้ถือเป็นประเพณีตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

    เซียนแปะโรงสี อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไรเซียนแปะโรงสี อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไร

    อีกทั้ง อาแปะโรงสี ท่านเก่งเรื่องดูโหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ยต่าง ๆ ในการตั้งบริษัทหรือบ้าน โดยคนที่ให้ท่านชี้แนะกลับไปต่างก็ประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้า บรรดาผู้คนทั้งจากในไทยและต่างประเทศต่างพากันมาหาท่าเพื่อขอคำชี้แนะเรื่องทำเลที่ตั้ง ฮวงจุ้ยของบริษัทห้างร้าน จึงเป็นที่มาว่าทำไมผู้คนต่างนับถือเซียนแป๊ะโรงสีผู้นี้ อาแปะโรงสีได้เสียชีวิตในปี 2526 แต่ชื่อเสียงก็ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

    เปิดประวัติ เซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไรเปิดประวัติ เซียนแปะโรงสี คือใคร อยู่ที่ไหน ขอพรเรื่องอะไร


    การเดินทาง มายัง วัดศาลเจ้า

    วัดศาลเจ้า ปทุมธานี เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.00 น. ที่อยู่ : 2/1 หมู่ 3 ซอยวัดมะขาม ถนนติวานนท์ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี

    ของไหว้บูชา อาแปะโรงสี (เซียนแปะโรงสี) เพื่อความเป็นสิริมงคล

    1. ส้ม 5 ลูก

    2.น้ำชา 5 ถ้วย

    3. ขนมแต้เหลียว 1 จาน

    4. กิมฮวย 1 คู่

    5. ธูป 5 ดอก

    6. พวงมาลัยพลาสติก 1 คู่

    7. ไหว้วันชิวโหงว วันที่ห้า ของวันตรุษจีน วันที่เจ้ากลับลงมาจากสวรรค์

    วิธีบูชา เซียนแปะโรงสีวิธีบูชา เซียนแปะโรงสี

    วิธีบูชา เซียนแปะโรงสี

    1. จุดธูป 16 ดอกนอกบ้าน บอกเจ้าที่เพื่อจะขอแขวนผ้ายันต์ และอัญเชิญอาแปะเข้าบ้าน 

    2. ให้นำผ้ายันต์แขวนบนผนัง โดยให้ผ้ายันต์หันออกหน้าร้าน  

    3. เอากิมฮวย 1 คู่ ติดตรงกลางด้านล่างของรูปและปักธูปไม่จุด 5 ดอก และ แขวนพวงมาลัยพลาสติก 1 พวง บนกรอบด้านบน เป็นอันเสร็จพิธี สามารถถวายพวงมาลัยสดเพิ่มได้ ทั้งนี้กิมฮวยธูป 5 ดอก และพวงมาลัยพลาสติกควรเปลี่ยนปีละ 1 ครั้ง

    4. กิมฮวย 1 คู่  ธูป ดอก พวงมาลัยพลาสติก 1 คู่ ให้ไหว้วันชิวโหงว วันที่ห้า ของ วันตรุษจีน วันที่เจ้ากลับลงมาจากสวรรค์

    คำอธิฐานขอพร อาแปะโง้วกิมโคย (เซียนแปะโรงสี)

    เทียน กัว สื่อ ฮก โหงว ลี่ ขอให้ฟ้าประทานพร โชคลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว

    ขอบคุณที่มาจาก/ภาพจาก : ศาลเจ้าเซียนแปะโรงสี และคณะศิษย์เจ้าพ่อวัดศาลเจ้า / โซเชียลมีเดีย

    "พระอาจารย์แจ้”บารมีครูแรงเกจิดังแห่งยุค

     จากชายหนุ่มผู้ใฝ่เสาะหาอาจารย์ดีเพื่อเรียนพุทธาคมอันศักดิ์สิทธิ์ ใจชื่นชอบหนุมานผู้ชาญฤทธิ์ จนเดินทางมาพบกับบารมีสายครูแรง แห่งหลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม เมืองชัยนาท และความหัศจรรย์แห่งบารมี เมื่อ พระตะวัน อิทฺธิโชโตหรือ พระอาจารย์แจ้ แห่งวัดน้อมประชาสรรค์ อำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา ฝันเห็นหลวงพ่อกวยส่งมอบสังฆาฏิให้ท่านรับไว้เพื่อรับช่วงต่อพุทธาคม และได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาจากอาจารย์ทรง รอดเล็ก มือตอกมีดหมอ จาร เสก ทำผงอุด อาจารย์สักที่เคยบวชอยู่กับหลวงพ่อกวยนานที่สุดท่านหนึ่ง 


    ประสบการณ์ครูสายแรงเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ต้องเดินทางไปขอเรียนวิชากับอาจารย์ทรงถึงสามครั้ง จนครั้งสุดท้ายได้ขอกับรูปเหมือนหลวงพ่อกวย จึงได้รับอนุญาตให้เรียน และกลายมาเป็นพระอาจารย์แจ้ ที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธา คิวรดน้ำมนต์พลิกชะตาชีวิต พูนดวงเสริมสิริมงคลนับร้อยคนต่อวัน วัตถุมงคลได้รับการค้นหาเก็บสะสมด้วยประสบการณ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ วัดจัดงานใหญ่แต่ละครั้งผู้คนไปร่วมนับพันคนจนแน่นวัด 


    ด้วยสายพุทธาคมสายตรงจากหลวงพ่อกวยและความศรัทธาต่อปู่ฤาษีเพ็ชรฉลูกรรณ์ และอาจารย์ยังได้เรียนวิชาจากอาจารย์หลายท่านจนมีความเชี่ยวชาญ ขนาดช่วงโควิด-19 แรงงานท่านยังทำยาแจกชาวบ้านด้วย ถือเป็นเกจิรุ่นใหม่ที่ผู้คนนับถือศรัทธาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 


    เครดิตภาพจากเพจ วัตถุมงคลพระอาจารย์แจ้ อิทฺธิโชโต

    วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

    หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

     

    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่พิบูลย์
     แซ่ตัน

    วัดพระแท่นบ้านแดง
    อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

    หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

    เมืองอุดรธานี เป็นที่ทราบกันดีว่ามีพระเกจิอาจารย์ที่ทรงบารมีพุทธาคมสูงส่ง อีกทั้งศิลาจารวัตร งดงาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาปสาทะของสาธุชนทั่วไป มากมายหลายรูป แต่จะมีบูรพาจารย์รูปหนึ่งที่จะกล่าวถึง คือ หลวงปู่พิบูลย์ แซ่ตัน พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา มีบุญญาบารมีสูงส่งทั้งในด้านอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ สามารถเป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านทั้งใกล้และไกล ท่านถูก ใส่ร้ายว่าเป็นกบฏผู้มีบุญ ซึ่งสมัยนั้นจะกระทบกับความมั่นคง ท่านจึงถูกจับกุมไปคุมขังยังเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี จับท่านถ่วงน้ําเพื่อพิสูจน์ความผิด เมื่อไม่สามารถชี้มูลความผิดได้ ก็ปล่อยตัวท่านกลับมา จนครั้งสุดท้าย เจ้าเมืองอุดรธานีท่านหนึ่ง ก็ได้มีคําสั่งจับกุมท่านมาไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์ (พระอารามหลวงสังกัดธรรมยุติกนิกาย) กลางเมืองอุดร ในคดีก่อกบฎผีบุญ โดยกักบริเวณท่านไว้ที่กุฏิในป่าข้างสระน้ําท้ายวัดเป็นเวลากว่า 15 ปี ตลอดเวลาที่หลวงปู่พิบูลย์ มาอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ แต่ละวันก็ได้ออกช่วยชาวบ้านที่ถูกผีปอบเข้า ผีสิง เจ็บไข้ได้ป่วย โดยท่านใช้ยาสมุนไพรและธรรมะเข้ารักษาจนชาวบ้านหายเจ็บป่วย และชื่อเสียงของท่านก็เลื่องลือออกไปอีก คนเจ็บไข้ได้ป่วยจากแต่ละจังหวัดต่างมาให้ท่านรักษา โดยท่านได้สร้างโรงเรือน สร้างกระต๊อบรักษาชาวบ้าน มากมาย ตรงบริเวณนั้นปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. 2485 หลวงปู่พิบูลย์ ท่านได้มีวัตถุประสงค์จะสร้างเหรียญไว้เป็นที่ระลึกแก่ผู้คนที่ศรัทธา และเคารพนับถือท่าน ท่านจึงได้ให้ลูกศิษย์เดินทางไปยังกรุงเทพฯ เพื่อไปติดต่อโรงงานโดยในสมัยช่วงประมาณปี พ.ศ. 2480 นั้นโรงงาน ที่รับปั้มพระแกะบล็อกจะมีแห่งแรกในประเทศ อยู่แถวดีโอสยาม ซึ่งโรงงานนี้ คือโรงงานที่ปั้มเหรียญหลวงพ่อโบถส์น้อย ปี 2482 และ หลวงพ่อคงวัดบางกระพร้อม เมื่อลูกศิษย์ท่านเดินทางไปถึงก็สอบถาม หาโรงงานจึงได้โรงงานและช่างแกะบล็อกให้หลวงปู่พิบูลย์ ซึ่งเป็น เหรียญหยดน้ํารุ่นแรกและรุ่นเดียวที่ท่านปลุกเสกไว้ . ด้วยอิทธิ ปาฏิหาริย์เหนือคําบรรยายด้วย ที่ท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เราจึง มีเหรียญหยดน้ําไว้บูชาแทนตัวท่านนับแต่นั้นเป็นต้นมา

    หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี

    หลวงปู่พิบูลย์ หรือ หลวงปู่บ้านแดง นามเดิมชื่อ พิบูลย์ แซ่ตัน เกิดที่บ้านพระเจ้า ต.มะอึ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด บิดาเป็นคนจีนชื่อ สา และมารดาเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ดชื่อ โสภา มีอาชีพทําไร่ทํานาและค้าชายจนมีฐานะมั่นคง

    ตั้งแต่เยาว์วัยท่านจะมีอุปนิสัยชอบทําบุญ บําเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยเชื่อว่าผลบุญกุศลที่ได้ทําแล้วจะทําให้เกิดบุญกุศลเกิด ความสุขในภพนี้และภพหน้า ต่อมาเติบโตมีครอบครัว และมีบุตรบุญธรรมเป็นหญิง 1 คน จนกระทั่งบุตรบุญธรรม ได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัวที่ดี ท่านจึงตัดสินใจบรรพชา โดยไม่ปรากฏชื่อวัด พระอุปัชฌาย์ และฉายาของท่าน ทราบเพียงว่าหลังจากเป็นพระภิกษุแล้ว ได้จําพรรษาและ ศึกษากัมมัฏฐานที่วัดนั้นเป็นเวลาพอสมควร จากนั้นกราบ ลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกเดินรุกมูลเจริญกัมมัฏฐานไป ในป่าเพียงลําพัง โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ค่ำไหนนอนนั่น ไปจนถึงริมแม่น้ําโขงและข้ามสู่ฝั่งประเทศลาว อาศัยถ้ําเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ณ ภูอาก ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อลงมาบิณฑบาตที่หมู่บ้านก็ได้ สั่งสอนธรรมะแก่ญาติโยมจนเป็นที่เคารพศรัทธา เมื่อครั้ง ออกพรรษาหลวงปู่พิบูลย์จึงเดินทางออกจากฏอากมุ่งสู่ถ้ํา แถบภูเขาควาย และได้ไปพบกับอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น (12 กิโลกรัม) ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกันกับลูกศิษย์ อีก 7 รูป เป็นเวลาหลายปี จนอาจารย์เห็นว่าลูกศิษย์แต่ละรูปได้ปฏิบัติในธรรมอย่างเคร่งครัดและส่วนมากได้ บรรลุธรรมแล้ว จึงได้เรียกลูกศิษย์ทั้งเจ็ดออกมา แล้วเอา ลูกสมอให้คนละลูกและให้เคี้ยวลูกสมอนั้นให้แตก ปรากฏ ว่าหลวงปู่พิบูลย์และศิษย์อีก 4 รูป เคี้ยวลูกสมอแตกละเอียด ส่วนอีก 2 รูปนั้นไม่แตกแม้กระทั่งเปลือก อาจารย์จึงรู้ว่าผู้ใดบรรลุธรรมและไม่บรรลุธรรม ผู้ไม่บรรลุธรรม ก็ให้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไป สําหรับหลวงปู่พิบูลย์อาจารย์ ท่านแนะนําให้ไปสร้างวัดอยู่ในเขต อ.หนองหาน เมื่อ

    หลวงปู่เดินทางมาถึงเขต อ.กุมภวาปี ท่านได้สร้าง “วัดเกาะแก้วเกาะเกศ” ซึ่งอยู่ติดกับลําน้ําปาว และอยู่ที่นั่นหลายปี จนเมื่อได้กลับมากราบอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น อาจารย์บอกว่าวัดที่หลวงปู่ไปสร้างนั้นไม่ใช่วัดเดิมของ หลวงปู่ที่บอกไปสร้างจะอยู่ทางทิศเหนือของ อ.หนองหาน ซึ่งอยู่ติดริมห้วยหลวง เมื่อลาอาจารย์กลับมายังฝั่งไทย หลวงปู่ได้จําพรรษาที่วัดเกาะแก้วเกาะเกศระยะหนึ่ง จากนั้นจึงลาญาติโยมมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือของหนองหานมุ่งหน้าสู่บ้านไทย (บ้านแดงในปัจจุบัน) และด้วยบารมีของท่าน วัดเก่าแก่โบราณที่เคยเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน ก็กลับเจริญรุ่งเรืองจนมาเป็น “วัดพระแท่น” ดังกล่าวแล้ว

    ในปี พ.ศ.2489 ท่านอาพาธด้วยโรคชรา มีลูก ศิษย์ลูกหาคอยดูแลรักษาปรนนิบัติ อาทิ หลวงปู่หนู และ หลวงปู่โชติ ในที่สุดท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวัน ขึ้น 7 ค่ํา เดือน 3 ในปีเดียวกัน ณ วัดโพธิสมภรณ์ ใน ตัวเมืองอุดรธานี สิริอายุได้ 135 ปีหลวงปู่พิบูลย์ เป็นพระเกจิที่ชาวบ้านในยุคนั้น มีความเชื่อว่า ท่านสําเร็จอรหันต์ เพราะเคยได้เห็นปาฏิหาริย์ปรากฏในหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งการรักษา คนป่วย คนบ้า คนถูกคุณไสย หรือผีปอบเข้า (ในยุคนั้น) ด้วยน้ําพระพุทธมนต์จนหายเป็นปกติทุกราย ชาวบ้านบางคนเคยเห็นท่านทําความเพียรจนตัวท่านลอยขึ้นไป ถึงหลังคาพระอุโบสถก็มี และหลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้ว ในวันพระชาวบ้านก็มักจะเห็นลําแสงพุ่งออกจาก ยอดพระเจดีย์ซึ่งบรรจุอัฐิของท่าน แล้วค่อยๆเคลื่อน ไปลงที่ต้นโพธิ์ใหญ่กลางหมู่บ้าน ไม่นานนักลําแสงนั้น ก็จะพุ่งขึ้นจากต้นโพธิ์ลอยกลับคืนมายังเจดีย์อยู่เป็นประจํา ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า “พระธาตุหลวงปู่เสด็จ

    ส่วนวัตถุมงคลของหลวงปู่พิบูลย์ คือ เหรียญหยดน้ํา “เหรียญรุ่นแรก” ที่ว่ากันว่าหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรนั้นเพราะเป็น เหรียญรุ่นแรกและรุ่นเดียวที่สร้างเมื่อครั้งท่าน ยังมีชีวิตอยู่ที่วัดต่างหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นหลวงปู่โชติ ก็ได้ สร้างบล็อกสายฝนเรียบ ในงานบําเพ็ญกุศลหลวงปู่พิบูลย์ ในปี 2504 จํานวนประมาณ 4,000 เหรียญ โดยมีการปั้ม เฉพาะบล็อกสายฝนนี้ ปั้มออกมาถึง 3 ครั้ง เหรียญ สายฝนเรียบสวยๆ ราคาขึ้นแสนมานานแล้ว โดยไม่มีการแก้ไขบล็อกใดๆ ทั้งสิ้น ถัดมาได้มีการนําบล็อกสายฝน เรียบที่ชํารุด มาทําการแก้ไขบล็อก แล้วก็ได้ทําการปั้ม เหรียญออกมาอีกถึง 4 ครั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ได้มีการจัดสร้างเหรียญบล็อกฝาบาตรออกมา มีเนื้อทอง ฝาบาตรรมดํา และทองฝาบาตรไม่รมดํา บล็อกนี้เป็น บล็อกที่มีราคาแพง สวยๆ ขึ้นหลักแสนไปแล้วและก็หายากเช่นกัน เพราะจํานวนการสร้างน่าจะไม่เกิน 2,000 เหรียญ ต่อจากนั้นมาปี พ.ศ. 2516 ได้มีการแกะบล็อกขึ้นมาอีก โดยได้แกะเป็นบล็อกกนก 7 ชั้น ไม้เท้าทู่ และต่อมาบล็อกหน้าแก่ หลวงปู่ชมก็ได้ให้ช่างแกะขึ้นมาอีกบล็อก คือ บล็อกรุ่นที่ 1 หลวงปู่ชม โอภาโส สร้าง ในปี 2516 บล็อกพิมพ์หน้าแก่กลางปี 2525 กับบล็อกหน้าหนุ่ม ในปี 2530 ส่วนบล็อกยายเขียวถือว่าเป็นอีกบล็อกที่มีประสบกราณ์มากมาย ก็ได้สร้างในปี พ.ศ. 2538 และรุ่นเมตตาก็ได้ทําการจัดสร้างรุ่นสุดท้ายที่หลวงปู่โชติได้สร้างไว้เป็นรุ่นเดียวที่ท่านได้สร้างพร้อมกับเหรียญมหาเศรษฐีหลวงปู่โชติ คือ เหรียญห้าเหลี่ยมพิบูลย์รักษ์ ปี พ.ศ. 2540 ยังมีอีกหลายรุ่นหลายวัดที่ได้จัดสร้างรูปเหรียญหลวงปู่พิบูลย์ตามสายบูรพาจารย์ ซึ่งในแต่ละครั้งที่จัดสร้างวัตถุมงคลของท่านต่างก็มีประสบการณ์ เป็นที่เสาะหาของบรรดาผู้ที่ศรัทธาในองค์หลวงปู่พิบูลย์เป็นอย่างมาก ตราบใดที่ความศรัทธายังคงมั่น ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ย่อมตามมาอยู่เสมอ ขอแค่ให้เชื่อมั่นทําแต่ความดีงามตามที่หลวงปู่พิบูลย์ท่านสั่งสอน แม้จะอยู่ใกล้ไกลท่านจะตามไปรักษาเราตลอดกาลนาน

    ประวัติ “หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ” ปราชญ์แห่งที่ราบสูง

     สุทฺโธ” อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ที่แม้ท่านจะละสังขารไปตั้งแต่ปี 2558 ยังคงมีพุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์นับถือเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก

    ประวัติ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ จาก หนังสือที่ระลึกในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่ และครูใหญ่พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ)

    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2466 แรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ณ บ้านไร่ หมู่ 6 ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ประกอบด้วย 1 หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ 2 นางคำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์ 3 นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์

    เมื่ออายุได้ 11 ปี มารดาเสียชีวิต บิดานำไปฝากเป็นศิษย์วัดบ้านไร่ โดยมีพระอาจารย์เชื่อม วิรโช พระอาจารย์ฉาย กิตติญโญ และพระอาจารย์หลี อารกขยโย เป็นครูสอนภาษาไทยและภาษาขอม

    เมื่ออายุครบ 21 ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2487 โดยพระครูวิจารยติกิจ เจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสี วัดบ้านจั่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสุข วัดโคกรักษ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ต่อมาได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแดง ชินบุตโต วัดบ้านหนองโพธิ์ ตำบลสำนักตะคร้อ อำเภอเทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา และหลวงพ่อคง พุทธสโร วัดถนนหักใหญ่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุดทด จังหวัดนครราชสีมา

    การศึกษาขณะเป็นสมณะ สอบได้นักธรรมชั้นตรี ที่สำนักเรียนนวัตถนนหักใหญ่ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมวินัยด้านปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวทเป็นอย่างดีแล้ว ได้ออกเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าจากวัดบ้านไร่สู่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม และเข้าสู่ประเทศลาว (สปป.ลาว) ในประเทศลาวได้ธุดงค์ไปหลายที่ เช่น ภูเขาควาย หลวงพระบาง ทุ่งไหหิน แก่งหลี่ผี มหานทีสี่พันดอน และเข้าสู่ประเทศกัมพูชา ปี พ.ศ. 2500 หลังจากการเดินธุดงค์แล้ว หลวงพ่อกลับมาจำพรรษา ณ วัดบ้านไร่ การจำพรรษาของหลวงพ่อในแต่ละปีนั้น ท่านได้จำพรรษาไปตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย

    ขณะที่ หลวงพ่อกลับมาจำพรรษา ณ วัดบ้านไร่นั้น ท่านได้นำชาวบ้านก่อสร้างโรงเรียนบ้านไร่ โดยไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการแต่อย่างใด และยังบริจาคเงินก่อสร้างวัด หน่วยงานราชการต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรงพยาบาล สถานีอนามัย โรงเรียน วิทยาลัย สถานีตำรวจ บ้านพักตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ถนน รวมทั้งบริจาคเงิน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ช่วยชีวิต รถพยาบาล รถดับเพลิง เครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นต้น จากคุณงามความดีของท่านมากมาย จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ ณ พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง ดังต่อไปนี้

    12 สิงหาคม 2535 พระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ ที่พระญาณวิทยาคมเถระ

    10 มิถุนายน 2539 พระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ เลื่อนสมณศักดิ์ที่พระราชวิทยาคม

    12 สิงหาคม 2557 รับพระราชทานสัญญาบัตรพัตยศ เลื่อนสมณศักดิ์ ที่พระเทพวิทยาคม

    และได้รับแต่งตั้ง เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2546

    หลวงพ่อได้ถวายเงินแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย วันที่ 11 มกราคม 2538 ณ วัดบ้านไร่ จำนวน 72,000,000 บาท (เจ็ดสิบสองล้านบาท) และถวายอีกครั้งในวันที่ 18 เมษายน 2551 ณ พระราชตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวัง จำนวน 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาท) ประมาณการเงินที่บริจาคเพื่อเป็นปัจจัยสร้างวัด หน่วยงานราชการและเอกชน เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ สาธารณสงเคราะห์ มีมากถึง 4,000,000,000 บาท (สี่พันล้านบาท)

    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 สิริอายุ 92 ปี 71 พรรษา